‘ดอกไม้’ แค่พูดคำคำนี้ออกมาก็สัมผัสได้แล้วถึงการน่าทนุถนอม ความสวยงาม ความบอบบางของอะไรสักอย่าง และนั่นก็เป็นเพียงแค่สิ่งแรกที่เรารับรุ้ หรือแม้แต่ความหมายดดยนัยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของความสวยงาม แต่ว่าวันนี้พวกเราไม่ได้มาตีแผ่ความหมายของดอกไม้ แต่เป็นภุมิหลังของดอกไม้แต่ละชนิดต่างหาก กับ 5 ดอกไม้กับประวัติศาสตร์เบื้องหลังที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ใครที่พร้อมแล้ว ไปลุยกันเลยครับ!
Carnations
คาเนชันเป็นดอกไม้จากกรีก ชื่อเดิมจริงๆ แล้วคือ Carnis หรือคานิส แปลว่า สัมผัสดั้งเดิมของดอกไม้ หรืออีกนัยหนึ่งก็อาจจะหมายถึงอวตาร หรือแม้แต่การจุติของเทพเจ้า มักใช้การทำเป็นมงกุฎและใช้ในพิธีสำคัญของกรีกใน หลาย ๆ พิธี

Daisy
การค้นพบของเดซี่เริ่มต้นที่การขุดค้นพบปิ่นปักผมคล้ายดอกเดซี่สีทองสวยในพระราชวังมิโนอันบนเกาะครีต คาดว่าเดซี่มีอายุมากมากกว่า 4000 ปี นอกจากนี้ก็ยังพบเครื่องเซรามิกในสมัยอียิปต์มีการตกแต่งที่แสดงให้เห็นถึงดอกเดซี่อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าเทียบในภาษาฝรั่งเศสแล้วดอกเดซี่ หรือ “Marguerite” มาจากภาษากรีกที่แปลว่าไข่มุก ซึ่งฟรานซิสก็เรียกน้องสาวของเขาว่ามาร์เกอริต หรือมากาเร็ต และพวกเธอเหล่านั้นทั้งหมดที่มีชื่อดังต่อไปนี้ก็ยังนิยมใช้เครื่องประดับหรือของที่เกี่ยวกับเดซี่ทั้งหมดคล้ายกับคำสาป

Holly
Holly ถูกพระในช่วงยุคกลางเรียกว่าเป็น Holy tree ซึ่งให้อารมณ์คล้าย ๆ ต้นไม้ไล่ผี ฤทธิ์เหมือนน้ำมนต์อะไรเทือกๆ นั้น ผู้คนก็เลยใช้ Holly เป็นเหมือนกับไม้กันผีหน้าบ้าน และกันแดดด้วย ถือเป็นไม้ที่มีประโยชน์ จนกระทั่งในยุคโรมันที่เริ่มตกแต่งทางเดินในห้องโถงด้วยมาลัยที่ทำมาจาก Holly ในช่วงเทศกาลในฤดูหนาว ต่อมา Holly ได้กลายเป็นตัวแทนของพระเยซูโดยเปรียบใบที่แหลมคมเป็นเหมือนมงกุฎหนามที่พระเยซูสวมใส่ ส่วนผลเบอร์รี่สีแดงเป็นหยดเลือดของพระเยซูนั่นเอง

Lily
ลิลลี่มีความเกี่ยวข้องกับหลายตำนานบนโลก ถ้าย้อนกลับไปสมัยปี 1580 ก่อนคริสต์ศักราชก็มีการค้นพบภาพดอกลิลลี่ในวิลล่าแห่งหนึ่งบนเกาะครีตสมัยมิโนอัน ก่อนที่ลิลลี่จะถูกกล่าวขานในความหมายของพันธสัญญาเก่า และในยุคใหม่ก็กลายเป็นตัวแทนของความบริสุทธิ์และคุณธรรม เพราะในศาสนาคริสต์และศาสนานอกรีตอื่นๆ ก็มีการนับถือดอกลิลลี่ในแง่มุมของความบริสุทธิ์ทางเพศ ความอุดมสมบูรณ์ สังเกตได้จากในพิธีแต่งงานที่เจ้าสาวมักจะสวมมงกุฎที่ทำมาจากดอกลลิลลี่ที่หมายถึงความบริสุทธิ์และความอุดมสมบูรณ์

Violets
ดอกไวโอเลตถูกใช้ในงานแต่งงานของนโปเลียนและโจเซฟิน เพราะโจเซฟินสวมมงกุฎดอกไม้สีม่วง รวมถึงในทุก ๆ วันครบรอบ นโปเลียนก็มักจจะให้ช่อดอกไม้สีม่วงจากไวโอเลตเป็นของขวัญเธอด้วยเหมือนกัน จนกระทั่งนโปเลียนกลายเป็นหัวหน้ากลุ่ม Bonapartists ก็ยังใช้สีม่วงจากดอกไวโอเลตเป็นสัญลักษณ์ แม้กระทั่งในปี 1814 ที่เขาถูกเนรเทศและกลับไปเยี่ยมหลุมศพของโจเซฟิน และเสียชีวิตลง ล็อกเก็ตรอบคอของเขาก็ยังคงมีสีม่วงที่มาจากหลุมศพของโจเซฟินด้วยเหมือนกัน
จบกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับกับ 5 ดอกไม้กับประวัติศาสตร์เบื้องหลัง ในพาร์ทที่ สำหรับพาร์ท 2 ที่กำลังตามมาก้หวังว่าจะมีคนมาตามอ่านกันอีกเหมือนเดิมเช่นเคย สายดอกไม้และสายประวัติศาสตร์ต้องไม่พลาดกันแล้วนะครับ แล้วเจออกันใหม่ในพาร์ท 2 ของ 5 ดอกไม้กับประวัติศาสตร์เบื้องหลังที่หลายคนไม่เคยรู้ สวัสดีครับ
ที่มาภาพ : Freepik, Masterclass, Flowermeaning, Old farmer’s Almanac, Wonderland trust
#ดอกไม้กับประวัติศาสตร์โลก #เรื่องดอกไม้ที่คุณไม่รู้